Last Updated on October 25, 2021
Frozen โฟรเซ่น ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
Frozen หรือ โฟรเซ่น เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่น 3 มิติแนวแฟนตาซีมิวซิคอล ผลิตโดยวอลท์ดิสนีย์สตูดิโอแอนิเมชั่น (Walt Disney Animation Studios) และเผยแพร่โดยวอลท์ดิสนีย์พิคเจอร์ (Walt Disney Pictures) Frozen เป็นการ์ตูนเรื่องที่ 53 ของดิสนีย์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากเทพนิยายของฮานส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) เรื่อง “The Snow Queen” ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นเรื่องราวของเจ้าหญิงที่ออกเดินทางร่วมกับมนุษย์หิมะและกวางเรนเดีย เพื่อที่จะหาตามหาน้องสาวที่พลัดพรากจากกันไป ซึ่งพลังน้ำแข็งได้ติดอยู่และทำให้อาณาจักรของพวกเขาจะต้องอยู่ในช่วงฤดูหนาวอันหนาวเหน็บชั่วนิรันดร์
โฟรเซ่นเป็นบทภาพยนตร์โดยเจนนิเฟอร์ ลี (Jennifer Lee) โดยมีคริส บัค (Chris Buck) เป็นผู้ร่วมกำกับ และได้เปิดตัวในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2013 โฟรเซ่นได้รับการยกย่องในด้านบาทภาพยนตร์ ธีมดนตรี และการแสดงด้วยเสียง บางคนวิจารย์ว่าโฟรเซ่นเป็นภาพยนตร์การ์ตูนที่ดีที่สุดของดิสนีย์ตั้งแต่มีสตูดิโออนิเมชั่น โฟรเซ่นได้รับรางวัลมากมายรวมทั้ง “รางวัลออสการ์” (Academy Awards) สำหรับ Best Animated Feature และ Best Original Song นอกจากนี้โฟรเซ่นยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำที่ดีที่สุด (Golden Globe Award) รางวัล BAFTA Award และรางวัลแกรมมี่ (Grammy Awards) อีก 2 รางวัล
เรื่องราวของ Frozen (2013) โฟรเซ่น ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ
เจ้าหญิงเอลซ่า (Elsa) แห่งเอเรนเดล (Arendelle) มีพลังวิเศษที่ทำให้เธอสามารถควบคุมและสร้างน้ำแข็งหรือหิมะขึ้นมาได้ โดยเธอมักจะใช้มันเพื่อเล่นกันอันนา (Anna) น้องสาวของเธอ แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เอลซ่าควบคุมพลังของเธอไม่ได้ทำให้เธอทำร้ายอันนาด้วยเวทมนตร์โดยไม่ได้ตั้งใจ พ่อแม่ของพวกเขาซึ่งเป็นพระราชาและพระชินีแห่งเอเรนเดลก็ได้พาพี่น้องทั้งสองไปยังอาณานิคมของโทรลล์ แกรนด์แพบบี้ (Grand Pabbie) ได้ช่วยรักษาอันนา แต่ได้เปลี่ยนความทรงจำของเธอให้ลืมเรื่องเวทมนตร์ของเอลซ่า แกรนด์แพบบี้ได้เตือนเอลซ่าว่าเธอต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของเธอ และความกลัวนั้นจะเป็นศัตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอลซ่า พระราชาและพระราชินีได้แยกเอลซ่าและอันนาออกจากกัน เพื่อปกป้องอันนาจากพลังที่ไม่อาจคาดเดาที่มากขึ้นทุกวันของเอลซ่า เอลซ่าจึงยุติการติดต่อกับอันนาทุกช่องทาง ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างพวกเขา เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พ่อกับแม่ของพวกเธอก็ได้สูญหายไปในทะเลระหว่างพายุ
หลังจากวันเกิดปีที่ 21 ของเอลซ่า เธอจะได้รับการสวมมงกุฎเป็นราชินีแห่งเอเรนเดล เธอกลัวว่าพลเมืองของเธอจะรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ของเธอและเธอหวั่นใจมาก ในวันนั้น ประตูปราสาทเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าาเยี่ยมชมเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ในหมู่คนเหล่านั้นได้มีดยุคแห่งเวเซิลตัน (Duke of Weselton) จอมเจ้าเล่ห์และเจ้าชายฮานส์ (Prince Hans) แห่งเกาะทางใต้ซึ่งอันนาได้ตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกพบ พิธีราชาภิเศษของเอลซ่าผ่านไปด้วยดีโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรร้ายแรงเกิดขึ้น แต่เธอยังคงห่างเหินกับอันนา ในช่วงพิธีบรมราชาภิเษกอันนาในวัย 18 ปีได้มีความสัมพันธ์ที่โรแมนติกกับเจ้าชายฮานส์และเขาได้ขอเธอแต่งงานอย่างกระทันหัน แต่เอลซ่าคัดค้านเมื่อพวกเขามาขอคำอวยพรจากเธอ
อันนาประท้วงด้วยความเจ็บปวดและความสับสนขอร้องเอลซ่าให้ช่วยอธิบาย ความเครียดทางอารมณ์ทำให้เอลซ่าเผลอปลดปล่อยพลังโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำใหเอเรนเดลทั้งเมืองอยู่ในฤดูหนาวอันเป็นนิรันดร์ เอลซ่าถูกตราหน้าว่าเป็นสัตว์ประหลาดโดยดยุคแห่งเวเซิลตัน และเธอได้หนีไปที่ภูเขาทางเหนือ ซึ่งในที่สุด เธอก็รับรู้ถึงพลังที่แท้จริงของเธอ และได้สร้างวังน้ำแข็งเพื่อใช้ชีวิตอย่างสันโดษ
อันนาออกตามหาเอลซ่าเพื่อจะยุติฤดูหนาวโดยปล่อยให้ฮานส์อยู่ในบังคับบัญชาที่เมืองเอเรนเดล เธอหลงทางและได้เข้าไปที่ร้าน “Wandering Oaken’s Trading Post and Sauna” เธอได้พบกับคริสตอฟฟ์ (Kristoff) และกวางเรนเดียร์ของเขาที่ชื่อสเวน (Sven) อันนาได้โน้มน้าวให้พวกเขาพาเธอไปที่ภูเขา การโจมตีของหมาป่าทำให้รถลากของคริสตอฟฟ์ถูกทำลาย เมื่อเดินเท้าไปพวกเขาได้พบกับโอลาฟ (Olaf) มนุษย์หิมะผู้ร่าเริงที่เอลซ่าสร้างโดยไม่รู้ตัว เมื่อม้าของอันนากลับไปที่เอเรนเดลโดยไม่มีเธอ ฮานส์ก็ออกเดินทางตามหาอันนาและเอลซ่าพร้อมด้วยสมุนของดยุคซึ่งมีคำสั่งลับให้ฆ่าเอลซ่าซะ
เมื่อไปถึงวังน้ำแข็งอันนาก็ได้พบกับเอลซ่า เมื่ออันนาเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นที่เอเรนเดล เอลซ่ารู้สึกหวาดกลัวและสารภาพว่าไม่รู้วิธีคลายเวทมนตร์ของเธอ ความกลัวของเธอทำให้พลังของเธอแสดงออกมาอีกครั้ง และเธอก็ทำให้หัวใจของอันนาแข็งตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ มันทำให้อันนาบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเอลซ่าก็ได้สร้างสัตว์ประหลาดหิมะขนาดยักษ์ชื่อมาร์ชแมลโลว์ (Marshmallow) ซึ่งไล่ล่าอันนา, คริสตอฟฟ์ และโอลาฟไป คริสตอฟฟ์พาอันนาไปพบกับโทรลล์ (trolls) ซึ่งเป็นครอบครัวบุญธรรมของเขา แกรนด์แพบบี้ (Grand Pabbie) เผยว่าอันนาจะกลายเป็นน้ำแข็งเว้นแต่ “การกระทำของรักแท้” จะช่วยถอนคำสาปได้
คริสตอฟฟ์พาอันนากลับไปที่เอเรนเดลเพื่อให้ฮานส์จูบเพราะคิดว่าเค้าเป็นรักแท้ของเธอ ฮานส์และคนของเขาไปถึงวังของเอลซ่าและเอาชนะมาร์ชเมลโล่ได้ และพวกเขาจับเอลซ่าไว้ อันนาถูกส่งไปให้ฮานส์ แต่แทนที่เขาจะจูบเธอ ฮานส์เผยว่าเขาวางแผนที่จะยึดบัลลังก์ของเอเรนเดลด้วยการกำจัดเอลซ่าและอันนาทิ้งซะ ฮานส์ขังอันนาไว้ในห้องเพื่อให้ตาย จากนั้นจัดการกับบุคคลสำคัญเพื่อให้เชื่อว่าเอลซ่าฆ่าอันนา
โอลาฟได้ช่วยเหลือและปล่อยอันนา พวกเขาออกผจญภัยในพายุหิมะด้านนอกเพื่อพบกับคริสตอฟฟ์ ซึ่งโอลาฟเปิดบอกว่าเขารักเธอ ฮานส์เผชิญหน้ากับเอลซ่าข้างนอกโดยอ้างว่าเธอเป็นคนฆ่าอันนาทำให้เอลซ่าใจสลายและหยุดพายุในทันที อันนาเห็นฮานส์กำลังจะฆ่าเอลซ่า เธอกระโดดลงไปขวางและในขณะนั้นตัวของเธอก็แข็งเป็นน้ำแข็งและได้หยุดฮานส์เอาไว้ได้ เอลซ่าเสียใจมาก เธอกอดและไว้อาลัยให้กับน้องสาวของเธอผู้จากไป การกระทำของเอลซ่าถือเป็น “การกระทำของรักแท้” และได้ช่วยชีวิตอันนาเอาไว้ได้
เมื่อตระหนักได้ว่า “ความรัก” เป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมเวทมนตร์ของเธอ เอลซ่าจึงหยุดฤดูหนาว และให้โอลาฟที่วุ่นวายกับหิมะเพื่อเอาชีวิตรอดในสภาพอากาศที่อบอุ่น ฮานส์ถูกจับกุมและถูกเนรเทศออกจากราชอาณาจักรเนื่องจากพยายามลอบสังหาร ในขณะที่การเชื่อมโยงทางการค้าของดยุคกับเอเรนเดลถูกตัดขาด อันนาให้รถลากคันใหม่กับคริสตอฟฟ์ และทั้งสองก็จูบกัน พี่สาวน้องสาวกลับมารวมตัวกันอีกครั้งและเอลซ่าสัญญาว่าจะไม่ล็อคประตูปราสาทอีก ในฉากหลังเครดิตมาร์ชแมลโลว์พบมงกุฎที่ถูกทิ้งของเอลซ่า และมาร์ชแมลโลว์ไดวางมงกุฎไว้บนหัวแล้วก็ยิ้ม
เทรลเลอร์ Frozen (2013)
ของเล่น ตุ๊กตา โมเดล สินค้าเกี่ยวกับ Frozen
เรื่องราวของ Frozen II (2019) โฟรเซ่น ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
ย้อนอดีตกลับไปในตอนที่เอลซ่าและอันนายังเป็นเด็ก ในห้องหนึ่งของปราสาทเอเรนเดล ในเย็นวันหนึ่งอันนาและเอลซ่าได้สร้างป่าจากหิมะและน้ำแข็งซึ่งมีที่มาจากพลังน้ำแข็งของเอลซ่า ขณะที่เธอเสกหิมะให้คนอื่นๆ เล่นด้วย กษัตริย์แอคนาร์และราชินีอิดูน่าก็เข้ามาบอกพวกเขาว่าถึงเวลาที่พวกเขาต้องเข้านอนแล้ว เมื่อเห็นว่าอันนาและเอลซ่ากำลังเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข ราชาและราชินีก็ยิ้มแล้วพาเด็กๆ ไปที่ห้องนอนของพวกเขา ที่นั่นเอลซ่าขอร้องให้พ่อเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง พระราชาเห็นด้วยและเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของป่าที่น่าหลงใหล
พระราชารูนาร์ด (King Runeard) ผู้ก่อตั้งและราชาองค์แรกของเอเรนเดลได้กำหนดสนธิสัญญากับชนเผ่าพื้นถิ่นนอร์ธัลดรา (Northuldra) สร้างเขื่อนระหว่างเอเรนเดลและป่าต้องมนตร์ (Enchanted Forest) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเผ่านอร์ธัลดรา อย่างไรก็ตามการต่อสู้ระหว่างกองทัพทั้งสองเกิดขึ้น กษัตริย์รูนาร์ดและทหารอีกหลายคนถูกฆ่า 4 วิญญาณธาตุ ประกอบไปด้วย ดิ , ไฟ, อากาศและน้ำซึ่งอาศัยอยู่ในป่า ได้แสดงความโกรธแค้นเนื่องจากการต่อสู้ วิญญาณทั้ง 4 ได้หายไปและกำแพงหมอกหนาได้เข้าปกคลุมทุกคนในป่า ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกจากที่นั่นได้ เจ้าชายแอคนาร์ลูกชายของกษัตริย์รูนาร์ด มีชีวิตรอดออกมาจากป่าได้ด้วยความช่วยเหลือจากคนที่ไม่รู้จัก หลังจากเกิดเรื่องราชินีอิดูน่าพาเด็กๆ เข้านอนร้องเพลงกล่อมเด็กที่แม่ของเธอสอน
3 ปีหลังจากการราชาภิเษกของราชินีเอลซ่า เธอยืนอยู่บนระเบียงปราสาทและมองย้อนกลับไปจากเหตุการณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไคเข้ามาหาเธอทำให้เธอตกใจเมื่อเธอไม่เห็นเขามา เพราะเธอหลงอยู่ในความคิดของเธอเกินกว่าจะสังเกตเห็น หลังจากปฏิบัติตามพระราชกรณียกิจของเธอแล้ว เธอก็ไปที่จัตุรัสกลางเมืองเพื่อเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ร่วงในราชอาณาจักรกับเจ้าหญิงอันนา โอลาฟ คริสตอฟฟ์ และสเวน และพวกเขาร้องเพลง “Some Things Never Change”
เย็นวันนั้นเอลซ่า อันนา คริสตอฟฟ์ สเวนและโอลาฟเล่นเกมทายคำ หลังจากสนุกสนานกับน้องสาวและเพื่อนๆ แล้ว เอลซ่าก็ตัดสินใจเข้านอนเร็ว เธอได้ยินเสียงลึกลับดังแว่วมา ต่อมาอันนาเข้าไปในห้องของเอลซ่าด้วยความกังวล เธอสังเกตเห็นว่าเอลซ่าสวมผ้าคลุมไหล่ของแม่ซึ่งเธอจะสวมมันเฉพาะเมื่อกังวลใจหรือมีปัญหา อันนากับเอลซ่าคุยกันอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็กอดกันแล้วก็หลับไป
ทันใดนั้นในกลางดึก เอลซ่าก็ตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงลึกลับเรียกเธออีกครั้ง คราวนี้เธอไม่สามารถเพิกเฉยได้ เอลซ่าพยายามทำตามเสียง “Into the Unknown” แต่เธอกลับปลุกวิญญาณธาตุโดยไม่ได้ตั้งใจ และจำเป็นต้องบังคับให้ทุกคนในอาณาจักรอพยพเนื่องจากทรัพยากรได้ถูกปลดออกจากอาณาจักร น้ำตกก็แห้ง เปลวไฟที่ให้แสงสว่างในอาคารและโคมไฟถนนดับลงลม ถนนกระจัดกระจายเหมือนมีบางอย่างอยู่ใต้พื้นดิน แกรนด์แพบบี้หัวหน้าโทรลล์สัมผัสได้ถึงอันตรายและมาถึงเอเรนเดลพร้อมกับโทรลล์ที่เหลือ แกรนด์แพบบี้บอกกับอันนาและเอลซ่าว่า พวกเขาจะต้องจัดการสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องโดยการค้นหาความจริงเกี่ยวกับอดีตของอาณาจักรเอเรนเดล มิฉะนั้นเขาจะมองไม่เห็นอนาคตของเอเรนเดลอีกต่อไป เนื่องจากเอลซ่าต้องตามหาเสียงที่ได้ยิน เธอพยายามบอกอันนาว่าเธอจะไปคนเดียว แต่อันนายืนยันที่จะไปกับเธอ ในขณะที่เอลซ่าพยายามหาเหตุผลว่าเธอต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมายเมื่อสามปีก่อน เช่นการปีนเขาทางตอนเหนือ การเอาชีวิตรอดจากหัวใจที่เยือกแข็ง และการช่วยเอลซ่าจากฮานส์ที่ชั่วร้าย ซึ่งในความคิดของอันนานั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงจะไปด้วย เอลซ่าขอยืมเกวียนของคริสตอฟฟ์และสเวนซึ่งเขาไม่สบายใจ หลังจากที่อันนาบอกว่าเธอกำลังจะไป คริสตอฟฟ์ยืนยันที่จะเป็นคนขับรถ โอลาฟเห็นด้วย แกรนด์แพบบี้สัญญาว่าจะดูแลผู้คนในเอเรนเดลในระหว่างนี้ จนกว่าเอลซ่าและอันนาจะกลับมาจากการทำให้วิญญาณแห่งธาตุสงบ และฟื้นฟูทรัพยากรของเอเรนเดล เมื่อวิญญาณไม่โกรธอีกต่อไป
เอลซ่า อันนา โอลาฟ คริสตอฟฟ์ และสเวนออกเดินทางไปยังป่าต้องมนต์ โดยเดินทางด้วยเกวียนของคริสตอฟฟ์ พวกเขาเดินผ่านสถานที่สำคัญจากภาพยนตร์เรื่องแรก เช่นพระราชวังน้ำแข็งของเอลซ่า โอลาฟยังเล่าให้ฟังตลอดการเดินทางที่นั่น และเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะเข้าท่า ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทางเข้าป่าต้องมนต์ และพบกับกำแพงหมอกที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่บางส่วนก็เปิดออกเมื่อเอลซ่าใช้เวทมนตร์ของเธอก่อนที่จะปิดอีกครั้งเมื่อพวกเขาอยู่ข้างใน กลุ่มแรกพบกับเกล (Gale) วิญญาณแห่งลม ซึ่งปรากฏในรูปแบบของพายุทอร์นาโด และกวาดทุกคนเข้าไปในกระแสน้ำวน เอลซ่าหยุดเขาด้วยการระเบิดธารหิมะกลายเป็นรูปแกะสลักน้ำแข็ง พวกเขาค้นพบว่ารูปแกะสลักมาจากอดีตของพ่อและแม่ของพวกเขา แม่ของเขาคือชาวนอร์ธัลดราผู้ลึกลับที่ช่วยชีวิตเจ้าชายแอคนาร์ไว้ระหว่างการต่อสู้ระหว่างรูนาร์ดกับทหารและนักสู้นอร์ธัลดรา พวกเขาเผชิญหน้ากับนอร์ธัลดราพร้อมกับกองทหารของเอเรนเดล
ในขณะที่ทั้งสองกลุ่มยังคงขัดแย้งกันเอง วิญญาณเพลิงก็ปรากฏขึ้นและเอลซ่าก็พยายามที่จะหยุดไม่ให้ไฟลุกลาม เอลซ่าพบว่าวิญญาณอยู่ในรูปของซาลาแมนเดอร์เวทย์มนตร์ผู้ตื่นเต้นที่ชื่อบรูนี เธอทำให้มันสงบลงโดยวางเขาไว้บนฝ่ามือของเธอและสร้างหิมะเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อหยุดเปลวไฟ เอลซ่าและอันนาหยุดการสู้รบระหว่างทหารกับนอร์ธัลดราโดยอธิบายว่า แม่ของพวกเขาคือชาวนอร์ธัลดรา ส่วนพ่อของพวกเขาคือแอคนาร์เจ้าชายแห่งเอเรนเดล ทหารเอเรนเดลชื่ออร้อยโทแมทเทียสรู้สึกประทับใจ และนึกถึงความทรงจำของเจ้าชาย ต่อมาที่ค่ายนอร์ธัลดรา กลุ่มที่พบสองพี่น้องนอร์ธัลดรา ชื่อฮันนี่มาเรนและไรเดอร์ เอลซ่าคุยกับฮันนี่มาเรนโดยรู้ว่าผ้าคลุมไหล่ของราชินีอิดูน่าได้รับการตกแต่งด้วยลวดลายนอร์ธัลดราแบบดั้งเดิม แอนนาพูดคุยกับผู้หมวดแมทเทียส โอลาฟได้รับการจัดกลุ่มใหม่โดยเด็กกลุ่มนอร์ธัลดรา ส่วนคริสตอฟฟ์คุยกับไรเดอร์ซึ่งรักกวางเรนเดียร์เช่นกัน ต่อมาเอลซ่าได้เรียนรู้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณดวงที่ 5 ซึ่งจะรวมผู้คน และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติเข้าด้วยกัน ในไม่ช้าทุกคนก็ถูกบังคับให้ต้องปกปิดและซ่อนตัวจากวิญญาณธาตุแห่งโลก “ยักษ์โลก” (Earth Giants) เมื่อพวกเขาย่ำผ่านค่ายนอร์ธัลดราโดยไม่ให้ใครเห็น
เอลซ่ายังคงมุ่งหน้าไปทางเหนือพร้อมกับอันนาและโอลาฟ ขณะที่คริสตอฟฟ์และสเวนอยู่ข้างหลังไรเดอร์และคนอื่น ๆ ในนอร์ธัลดรา คริสตอฟฟ์พยายามจะสารภาพรักกับอันนาแต่ไม่รู้ว่าเธอจากไปแล้ว แต่กลับพบผู้นำของเผ่าซึ่งบอกให้เขารู้ว่าอันนาและเอลซ่าไปที่ไหน ก่อนที่จะเปิดเผยว่านอร์ธัลดรากำลังรวมค่ายเพื่อย้ายไปที่อื่น หลีกหนีจากยักษ์โลก เพื่อไม่ให้พวกมันคุกคาม ในขณะเดียวกัน เอลซ่าก็พบซากเรือของพ่อแม่ และแผนที่ซึ่งมีเส้นทางไปยังแม่น้ำแห่งความทรงจำที่ตั้งอยู่ที่เกาะอัตโตฮัลลัน (Ahtohallan) ซึ่งจะมีคำตอบและคำอธิบายเกี่ยวกับอดีต อัตโตฮัลลันคือ “แม่น้ำที่เต็มไปด้วยความทรงจำ” ที่ถูกกล่าวถึงในเพลงกล่อมเด็กของราชินีอิดูน่า ซึ่งเอลซ่าได้เรียนรู้ว่าเป็นเพลงของนอร์ธัลดราแบบดั้งเดิม สองพี่น้องได้พบรูปสลักน้ำแข็งของพ่อแม่ที่รวมตัวกันเป็นก้อนที่เอลซ่าสร้างขึ้นจากน้ำที่ยังฝังอยู่ในตัวเรือ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะพบกับชะตากรรมที่น้ำทะเลมืด เอลซ่าและอันนาเริ่มร้องไห้ รู้สึกผิดอย่างยิ่งที่พ่อแม่ของพวกเขาหลงทางในทะเลเพื่อค้นหาคำตอบเกี่ยวกับพลังเวทย์มนตร์ของเธอ เอลซ่าตัดสินใจเดินทางตามลำพัง เธอส่งอันนาและโอลาฟไปในเรือน้ำแข็งที่ซึ่งพวกเขาต้องหลีกเลี่ยงยักษ์โลกที่หลับใหลอยู่ในขณะนี้ อันนาและโอลาฟติดอยู่ในถ้ำลึกลับอันมืดมิด
เอลซ่าพบกับนกก์วิญญาณแห่งน้ำ (Nokk) ที่คอยปกป้องมหาสมุทรในรูปแบบของม้าที่เปล่งประกาย ระหว่างที่จะทางไปยังอัลโตฮาลัน เอลซ่าทำให้นกก์เชื่อง และในที่สุดเธอก็ได้มาถึงอัตโตฮัลลัน เอลซ่าพบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงเรียกของอิดูน่าจากความทรงจำในอดีต ขณะที่ภาพของราชินีร้องเพลงลึกลับเรียกแอคนาร์ที่ไม่ได้สติหลังจากช่วยเขาได้ก็ฉายวาบไปที่ผนัง เอลซ่าค้นพบว่าพลังของเธอเป็นของขวัญจากเวทมนตร์แห่งธรรมชาติเนื่องจากอิดูนาได้ช่วยแอคนาร์อย่างไม่เห็นแก่ตัว สิ่งนี้ทำให้เอลซ่าเป็นวิญญาณดวงที่ 5 ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมนุษย์และธรรมชาติที่หลอมรวมความแตกต่าง เอลซ่าสวมเสื้อคลุมวิญญาณดวงที่ 5 ของแม่ของเธอ เธอยังเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีตและความทรงจำที่ว่า เขื่อนถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นอุบายเพื่อลดทรัพยากรของนอร์ธัลดรา เนื่องจากรูนาร์ดไม่ชอบที่จะเชื่อมโยงกับชนเผ่าเวทมนตร์ เอลซ่าได้เรียนรู้ว่ากษัตริย์รูนาร์ด แม้จะพรรณนาว่าดี แต่ก็เป็นผู้ริเริ่มความขัดแย้งกับนอร์ธัลดรา เอลซ่าส่งข้อมูลนี้ให้อันนา อย่างไรก็ตามในขณะที่เธอพยายามเข้าไปในส่วนที่อันตรายที่สุดของอัตโตฮัลลัน เอลซ่าก็กลายเป็นน้ำแข็ง เธอค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็งอย่างช้าๆ และเจ็บปวดมาก เธอได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอันนา คำสาปหัวใจเยือกแข็ง โอลาฟซึ่งถูกสร้างขึ้นจากเวทมนตร์อย่างไม่ตั้งใจของเอลซ่าจางหายไป และกลายเป็นกองหิมะ อันนาถูกทิ้งให้ย่อยยับและอยู่คนเดียว เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอจบลงแล้วและเธอต้องยอมแพ้ แต่เธอก็ปลอบตัวเองให้ ทำ “สิ่งที่ถูกต้องถัดไป” และดำเนินการต่อ
แอนนาสรุปว่าเขื่อนจะต้องถูกทำลายเพื่อความสงบสุขจะได้รับการฟื้นฟู แม้ว่าจะหมายถึงการทำลายล้างเอเรนเดลก็ตาม เธอหนีออกมาจากถ้ำและปลุกยักษ์โลก ที่หลับใหลซึ่งเปลี่ยนเป็นศัตรูกับเธอทันทีเพราะถูกรบกวน อันนาหลอกล่อพวกเขาไปที่เขื่อนโดยได้รับความช่วยเหลือจากคริสตอฟฟ์ สเวน และร้อยโทแมทเทียส ด้วยการปลดหน่วยราชองครักษ์ซึ่งถูกทำลายโดยก้อนหินที่ถูกยักษ์ขว้าง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเชื่อง เพราะความโกรธของพวกเขาถูกทำลายลง ย้อนกลับไปในอัตโตฮัลลัน ในที่สุดเอลซ๋าก็ละลายตัวเองและกลับไปที่เอเรนเดลเพื่อหยุดน้ำที่จะท่วมจากเขื่อนที่ถูกทำลาย โดยมีนกก์ซึ่งเป็นที่ประจักษ์โดยผู้คน แกรนด์แพบบี้และโทรลล์ของเขาให้กำลังใจเอลซ่าและนกก์ ในขณะที่แกรนด์แพบบี้พยักหน้าให้เอลซ่าด้วยความเคารพสำหรับชัยชนะของเธอ เมื่อกำแพงหมอกหายไป เอลซ่ากลับมารวมตัวกับอันนาอีกครั้ง และทำให้โอลาฟฟื้นขึ้นมาเพื่อความสุขของทุกคน
ในที่สุดคริสตอฟฟ์ก็ได้สารภาพรักและขอแต่งงานกับอันนา และเธอก็ตอบตกลง เอลซ่าชี้ให้เห็นว่าตอนนี้เธอและอันนาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้คนและวิญญาณวิเศษ ตอนนี้ป่าต้องมนต์และเอเรนเดลเปิดกว้างและเชื่อมต่อถึงกัน เอลซ่าจึงตัดสินใจว่าเธอควรจะอยู่ในป่ากับนอร์ธัลดรา ซึ่งเธอเป็นวิญญาณดวงที่ห้า อันนากลายเป็นราชินีแห่งเอเรนเดลคนใหม่ และเอลซ่ากลายเป็นผู้พิทักษ์แห่งป่าต้องมนต์ เธอไปเยี่ยมเอเรนเดลเป็นประจำเมื่อความสงบสุขกลับคืนมาในทุกดินแดน อันนาและคริสตอฟฟ์ใช้เวลาร่วมกันหลังพิธีราชาภิเษกของอันนาและงานพระราชพิธีครั้งแรก โอลาฟและสเวนสำรวจเอเรนเดลอย่างกระตือรือร้น ผู้หมวดแมทเทียสตอนนี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นนายพล มีคนเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเอ่ยถึงชาวเอเรนเดลที่ค่ายนอร์ธัลดรา ตอนนี้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในขณะที่เธอแสดงให้เขาเห็น “สิ่งประดิษฐ์ใหม่” ที่เรียกว่ารูปถ่าย ร่วมกับอันนา เขาเปิดตัวรูปปั้นใหม่ของพระราชาแอคนาร์และพระราชินีอิดูน่า เพื่อเป็นเกียรติแก่ความทรงจำของพวกเขา และความสามัคคีใหม่ระหว่างเอเรนเดลกับป่าต้องมนต์ อันนาให้เกลส่งข้อความถึงเอลซ่า และหลังจากอ่านจบไม่นานเอลซ่าก็นั่งนกก์ไปยังอัตโตฮัลลัน
เทรลเลอร์ Frozen (2019)
มารู้จักตัวละครหลักใน Frozen กันดีกว่า
เอลซ่า (Elsa) ราชินีหิมะ
เอลซ่า (Elsa) เป็นตัวเอกในเรื่อง Frozen ทั้งภาค 1 และภาค 2 เธอเป็นลูกสาวหัวปีของพระราชาแอคนาร์ King Agnarr และพระราชินีอิดูน่า Queen Iduna เธอเป็นพี่สาวของเจ้าหญิงอันนา เอลซ่าเป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างสะดุดตา มีรูปร่างที่เพรียวงาม มีผมสีบลอนด์แพลตินัม ดวงตาสีฟ้า ผิวสีขาวซีดราวกับหิมะ มีกระจางๆ บนใบหน้าเหมือนกับอันนาน้องสาวของเธอ เธอถอดแบบมาจากแม่ เห็นได้จากตอนพระราชพิธีราชาภิเษก เธอวางตัวได้สมเป็นราชินีเหมือนดั่งมารดาของเธอ ต่างกันก็เพียงแค่สีผมเท่านั้น เอลซ่าเกิดมาพร้อมกับพลังเวทมนตร์วิเศษในการสร้างน้ำแข็งและหิมะ แต่พลังพิเศษก็มาพร้อมกับอันตรายเช่นกัน
เมื่อสมัยยังเด็กเอลซ่าได้พลั้งมือทำร้ายอันนาน้องสาวของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้ จนเธอจำเป็นที่จะต้องแยกตัวออกมาและทำตัวเหินห่างจากน้องสาวอันเป็นที่รัก ในที่สุดความกังวลของเอลซ่าก็ทำให้เกิดคำสาปที่ทำให้เอเรนเดลเข้าสู่ฤดูหนาวชั่วนิรันดร์ อย่างไรก็ตามด้วยความรักของอันนา ท้ายที่สุดเธอก็สามารถควบคุมพลังของเธอได้ และใช้ชีวิตอย่างสงบท่ามกลางผู้คนของเธอ
แม้เอลซ่าจะเป็นเจ้าหญิงที่สง่างาม แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นคนเงียบๆ และเก็บตัว เธอต้องอยู่ด้วยความกลัวและระหวาดระแวง เอลซ่าต้องพยายามหลบหน้าและทำตัวห่างเหินจากอันนาเพราะกลัวว่าจะทำร้ายเธออีก แต่ถึงแม้จะพยายามหลบหน้ากันยังไง เอลซ่าและอันนาก็ยังรักกันมาก และด้วยความรักที่มีต่อน้องสาวของเธอและเพื่อช่วยชีวิตอันนาให้ปลอดภัย ในที่สุดเอลซ่าก็สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้และสามารถนำมันไปใช้ในทางที่ดี
ในฐานะราชินี เอลซ่าวางตัวนิ่ง สงบ ดู่สง่างาม สมเป็นเชื้อพระวงศ์ ในวัยเด็ก เธอให้ความใส่ใจอันนาเป็นอย่างมาก แม้จะวางตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นเด็กที่ค่อนข้างร่าเริง อย่างไรก็ดีเมื่อพลังของเธอเกือบจะเป็นต้นเหตุให้น้องสาวเธอตาย เอลซ่าก็มีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว กังวลว่า อำนาจพิเศษจะเพิ่มพูนจนเกินจะรับมือได้ ดังนั้นเอลซ่าจึงต้องการแยกตัวจากทุกคนที่เธอรัก รวมทั้งอันนา ด้วยความกลัวว่าพลังของเธอจะทำร้ายคนอื่น เธอเลือกที่จะเก็บงำความลับเรื่องของเธอไว้กับตนเองโดยไม่บอกคนอื่น อย่างไรก็ดี อารมณ์ของเธอเป็นต้นเหตุของการปลดปล่อยพลังน้ำแข็งและพายุทำลายล้าง
ด้วยความกดดันดังกล่าว เอลซ่าจึงอ่อนไหวต่อความรู้สึกและพฤติกรรมของคนอื่น เธอรู้สึกว่า เธอต้องอยู่ให้ห่างไกลจากคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะทำให้คนอื่นปลอดภัย ซึ่งนี่เป็นสาเหตุโดยตรงที่เธอตัดขาดการสื่อสารกับอันนา เนื่องจากเธอกลัวว่าจะไม่สามารถควบพลังได้หากโดนกระตุ้นจากอันนา ด้วยเหตุที่อันนาถูกลบล้างความทรงจำ เพื่อลบล้างคำสาปที่เอลซ่าปล่อยพลังใส่เธอตอนเด็กโดยไม่ตั้งใจ เธอจึงมีความยากลำบากที่จะพูดคุยกับอันนาในช่วงที่เธอโดดเดี่ยว เธอยังคิดไปเองว่า เธอนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเอเรนเดล เนื่องจากเธอมองว่าตนเองมีพลังแห่งการทำลาย
ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามหลบหน้าอันนาตลอด แต่เธอยังมีช่วงที่อยากจะพูดคุยกับอันนา เช่น ตอนให้อันนาไปเต้นรำกับดยุคแทนตนเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของเธอที่ดูขี้เล่นและซุกซน ท่ามกลางความหวาดกลัว เอลซ่าก็แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของเธอต่อครอบครัวและอาณาจักรของเธอ ดังจะเห็นได้ว่า เธอพยายามหลบหนีออกจากอาณาจักรมาอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อเมือง อย่างไรก็ตาม เธอแสดงให้เห็นถึงความกลัวเมื่อพบว่าเธอได้สร้างฤดูหนาวนิรันดร์กาลขึ้นมาและไม่สามารถลบล้างมันได้
อย่างไรก็ดี เมื่อเนรเทศตนเองออกมาแล้ว เราก็ได้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของเธอที่ต้องการเป็นอิสระ โดยไม่มีความกดดันหรือความกลัวที่จะทำร้ายคนอื่น เธอแสดงถึงความแข็งแกร่ง ด้วยบรรยากาศอันอลังการโดยรอบ และด้วยจิตสำนึกอย่างแรงกล้าของอิสรภาพ เธอจึงมีความมั่นใจอย่างยิ่งถึงพลังของเธอ ขณะนั้นเธอไม่กังวลและไม่เกรงกลัวอีกต่อไปแล้วที่จะกักเก็บพลังของเธอ ในเวลานั้น เอลซ่าได้พิสูจน์ว่า เธอเป็นผู้หญิงที่มีความกล้าที่จะออกถอยห่างจากจากชะตาที่ลิขิตทางเดินไว้ให้ ด้วยการสละตำแหน่งราชินีแห่งเอเรนเดล แลกกับอิสรภาพที่เธอลิขิตเอง
จุดที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับเอลซ่าคือ ความรักที่มีต่ออันนาน้องสาวของเธอ ความผูกพันของเอลซ่ากับอันนา มันแข็งแกร่งกว่าที่เธอคิด ในช่วงที่เธอเผชิญแรงกระตุ้นสูงสุด มันเหมือนเธอได้รำลึกว่า เธอไม่ได้โดดเดี่ยว เมื่อมีคนอื่นที่รัก และใส่ใจเธอเช่นเดียวกัน ด้วยพลังความรักและความตั้งใจอย่างแรงกล้า ทำให้เอลซ่าสามารถควบคุมพลังของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อช่วยน้องสาวที่เธอรัก เอลซ่าจึงสามารถเผชิญหน้ากับความกลัว และเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังและใช้มันไปในทางที่ดีได้
เมื่อเธอสามารถเอาชนะความกลัวได้ บุคลิกภาพของเอลซ่าได้กลับมาอบอุ่นและร่าเริงอีกครั้งเห็นได้จากเธอมีความสุขที่จะเล่นเสก็ตกับอันนาและคนอื่นๆ ช่วยอันนาสร้างเสก็ตโดยไม่กลัวว่าจะเป็นการทำอันตรายต่อเธอ และเอลซ่ายังสร้างก้อนเมฆหิมะให้โอลาฟ เพื่อให้เขาอยู่ได้ตลอดฤดูร้อนอีกด้วย
พลังและความสามารถของเอลซ่า
เอลซ่ามีความสามารถวิเศษในการเสกและจัดการกับน้ำแข็งและหิมะ ด้วยความสามารถนี้เธอสามารถกำหนดรูปร่างและโครงสร้างต่างๆ ที่ทำจากน้ำแข็งและหิมะ หรือปรากฏการณ์ที่หนาวเย็นจากหิมะที่โปรยปรายไปจนถึงพายุหิมะ พลังส่วนใหญ่ของเธอถูกปลดปล่อยออกมาจากมือของเธอ และถูกควบคุมโดยอารมณ์ของเธอ หากเอลซ่ามีความสุขและสงบ เธอจะควบคุมพลังได้ดีขึ้น แต่ถ้าเธอโกรธ กลัว หรือว่าเครียด เธอจะสูญเสียการควบคุมและก่อให้เกิดอันตรายอย่างมากกับคนรอบข้าง แต่ในตอนท้ายของ Frozen เธอก็สามารถควบคุมพลังของเธอได้อย่างสมบูรณ์
Let it go บทเพลงเปลี่ยนเปลียนชีวิตของเอลซ่า
Let it go เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Frozen ภาคแรกในปี 2013 เพลงนี้เป็นผลงานการแต่งเพลงของสองสามีภรรยาคริสเตน แอนเดอร์สัน (Kristen Anderson) และโรเบิร์ต โลเปซ (Robert Lopez) ด้วยท่วงทำนองที่ไพเราะและทรงพลังมาก แถมยังปลุกใจผู้ฟังให้ทิ้งอดีตและความกลัวไว้เบื้องหลัง และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง จึงทำให้เพลง Let it go นี้ได้รับความนิยมอย่างมาก และถูกแปลในภาษาต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงภาษาไทยด้วย ซึ่งเพลงในเวอร์ชั่นภาษาไทยนี้ มีชื่อว่า “ปล่อยมันไป” ขับร้องโดยนักร้องสาว แก้ม วิชญาณี เปียกลิ่น
เพลง Let it go นี้ดิสนีย์ตั้งใจแต่งให้เป็นเพลงของเอลซ่า โดยใช้ประกอบในฉากที่เธอหวาดกลัวกับพลังอำนาจของเธอที่เธอไม่อาจควบคุมมันได้ เธอหนีออกมาจากอาณาจักร ซ่อนตัวบนภูเขาหิมะทางเหนือ ละทิ้งมงกุฏและผ้าคลุมไหล่สีม่วงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกษัตรย์แห่งเอเรนเดลจนหมดสิ้น แล้วเธอก็ได้ปลดปล่อยพลังวิเศษออกมาและได้กลายเป็นราชินีหิมะอย่างเต็มตัวและสร้างพระราชวังน้ำแข็งที่งดงามมาก
เดิมทีทางผู้สร้างได้วางตัวเอลซ่าไว้เป็นตัวร้าย แต่ด้วยความหมายของเพลง Let it go นี้ และการร้องที่ทรงพลังและเข้าถึงอารมณ์ของไอดิน่า เมนเซล (Idina Menzel) ผู้พากย์เสียงเอลซ่า ทำให้ทีมผู้สร้างตระหนักได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เอลซ่าเพียงแค่ต้องการชีวิตที่เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น บทเพลงอันทรงพลังนี้ได้ผสานเข้ากับภาพยนตร์ได้อย่างลงตัว และสื่อว่า แม้เอลซ่าจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เธอกลับมีความสุขที่ได้หลุดพ้นจากความกดดันต่างๆ ตอนนี้เธอสามารถปลดปล่อยพลังของเธอได้อย่างอิสระ แตะเป็นสิ่งที่ตัวเธออยากจะเป็น ด้วยเหตุนี้ทีมผู้สร้างจึงได้ปรับเปลี่ยนบทและลักษณะตัวละครจากราชินีหิมะใจร้ายให้กลายมาเป็นเอลซ่าในเวอร์ชั่นปัจจุบัน ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่บทเพลงหนึ่งบท แต่กลับมีพลังอำนาจราวกับเวทมนตร์ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตตัวละครจากร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
Fun Fact เกี่ยวกับเอลซ่า
- เอลซ่ามีอายุ 21 ปีในช่วงพิธีราชาภิเษกของเธอ และความแตกต่างระหว่างอายุของเอลซ่าและอันนาอยู่ที่ประมาณ 3.5 ปี (อันนาอายุ 18 ปีในช่วงพิธีราชาภิเษก)
- เอลซ่าเกิดในวันเหมายัน (Winter Solstice) ซึ่งวันที่กลางคืนยาวนานที่สุดในรอบปี
- ชื่อ “เอลซ่า” (Elsa) หรือเรียกอีกอย่างว่า “อลิซาเบธ” (Elizabeth) เป็นชื่อดั้งเดิมสำหรับขุนนาง
- เอลซ่าชอบช็อกโกแลตมาก ซึ่งเธอมักจะแบ่งปันกับอันนา
- ในหนังสือ “A Sister More Like Me” ระบุว่าเอลซ่าชอบเรขาคณิต ซึ่งสิ่งนี้ถูกแสดงให้เห็นเมื่อเธอใช้ความรู้เรื่องเรขาคณิตในการสร้างวังน้ำแข็งและอธิบายการออกแบบหิมะของเธอว่าเป็น “เศษส่วน” แนวคิดเรขาคณิตขั้นสูงในช่วงเวลานั้น
- เดิมทีเอลซ่ามักจะทำผมเปียตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบุคลิกที่ไร้กังวลและไร้เดียงสาของเธอ ในขณะที่เติบโตขึ้น เอลซ่าทำผมเป็นมวยซึ่งแสดงให้เห็นถึงความกักขังและความโดดเดี่ยวของเธอ และเมื่อเธอรวบวมพลังของเธออีกครั้งหลังจากวิ่งหนีเธอก็ทำผมเปียอีกครั้ง
- ในร่างของ Frozen ช่วงต้นกล่าวเป็นนัยว่า ที่มาของเวทมนตร์ของเอลซ๋านั้นอาจจะเกิดจากการจัดเรียงตำแหน่งของดวงดาวในรอบ 1,000 ปี
- ในเทรลเลอร์ (โดยเฉพาะในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น) มีบางฉากที่ไม่ปรากฏในภาพยนตร์ Frozen ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจภาพลวงตาว่าเอลซ่านั้นเป็นตัวร้าย ตัวอย่างเช่น ฉากที่เอลซ่าใช้เวทมนตร์จากยอดเขาเพื่อให้ดูเหมือนว่าเอลซ่ากำลังสาปแช่งอาณาจักร และฉากที่อันนาอยู่ในพายุหิมะและตะโกนบอกคริสตอฟฟ์ว่า “นั่นไม่ใช่พายุหิมะ นั่นคือพี่สาวของฉัน!” และชี้ไปที่เอลซ่าที่กำลังใช้เวทมนตร์ เพื่อทำให้ดูเหมือนว่าเอลซ่ากำลังพยายามทำร้ายอันนา ฉากทั้งสองนี้มาจากอนิเมชั่นทดสอบ และฉากที่อันนาและคริสตอฟฟ์กระโดดลงจากหน้าผาเพื่อหนี Marshmallow ซึ่ง Anna ถูกอธิบายว่ากลัวที่จะกระโดดลงจากหน้าผาและมาร์ชแมลโลว์ก็พยายามฆ่าเขาท้้งสอง แทนที่จะพยายามทำให้พวกเขากลัว
- ในขณะที่เสื้อผ้าของอันนายังคงมีสีสันสดใสแม้จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่เสื้อผ้าของเอลซ่ากลับดูเข้มขึ้น และดูมีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้นเมื่อเธอค่อยๆ กลายเป็นผู้ใหญ่ แต่เอลซ่าเริ่มสวมเสื้อผ้าที่มีสีอ่อนหลังจากได้ร้องเพลง “Let It Go”
- เอลซ่าหนัก 7 ปอนด์เมื่อเธอเกิด
- เนื่องจากเอลซ่าไม่ได้มีพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการในฐานะราชินีจนกระทั่งประมาณ 3 ปีหลังจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิต จึงไม่มีใครรู้ว่าใครทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของเอเรนเดล แม้ว่าในอดีต ทายาทคนต่อไปจะกลายเป็นผู้ปกครองอาณาจักรหลังจากการตายของพ่อแม่ของพวกเขา ดังนั้นแม้ว่าเอลซาจะไม่ได้มีพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการแต่เธออาจจะยังคงเป็นผู้ปกครองในทางเทคนิคในช่วง 3 ปีนั้น ในหนังสือเรื่อง “A Twisted Tale” ได้มีการเรียบเรียงเหตุการณ์และกล่าวว่าขุนนางชื่อ “Peterssen” อาจจะช่วยดูแลอาณาจักรร่วมกับเอลซ่า จนกระทั่งเธอโตพอที่จะปกครองคนเดียวได้
- เอลซ่าและอันนาต่างทำหน้าที่เป็นวิญญาณดวงที่ 5 เพราะ “สะพานมีสองด้าน” แม้ว่าเอลซ่าจะถือว่าเป็นวิญญาณที่ 5 อย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นความผูกพันที่แน่นแฟ้นของเธอกับอันาที่ทำให้ป่ามหัศจรรย์และเอเรนเลเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่ออันนากลายเป็นราชินและเอลซ่าอยู่ในฐานะผู้พิทักษ์ป่า
- เอลซ่าไม่เคยถูกเรียกว่า “ราชินีหิมะ” (Snow Queen) ในหน้าจอ แต่ทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรียกเธอเช่นนี้ ใน Frozen ภาคแรก เอลซ่าถูกเรียกว่า “ราชินีเอลซ่า” (Queen Elsa) และใน Frozen II เธอถูกเรียกว่า “ราชินีหิมะเอลซ่า” (Snow Queen Elsa)
- เพลงของเอลซ่าหลายเพลง เช่น “Let It Go”, “Into the Unknown” และ “Show Yourself” เกิดขึ้นในเวลากลางคืน
- ในส่วนของ “Five-Minute Sleepy Time Stories” ใน “Frozen II: Family Game Night” เอลซ่าแสดงให้เห็นว่าเธอเก่งในเกม Freeze Tag เพราะพลังของเธอทำให้เธอสามารถจับคนหลายๆ คนได้พร้อมกัน
- ใน Frozen II เอลซ่าแสดงให้เห็นว่าเธอทายไม่เก่ง นี่อาจเป็นเพราะเธอยังคงขี้อายและมีปัญหาในการออกจากกรอบในเวลานั้น แต่ในการ์ตูนเรื่อง “A Special Charade” ซึ่งเกิดขึ้นหลังจาก Frozen II แสดงให้เห็นว่าเอลซ่าเล่นเกมได้คล่องขึ้น
- เอลซ่าอาจจะเป็นเจ้าหญิงดิสนี่ย์คนแรกของดิสนีย์ เรื่องนี้เป็นประเด็นจากแฟนคลับของเธอที่คิดว่าเอลซ่าไม่จำเปนต้องให้เจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเหมือนเจ้าหญิงเรื่องอื่นๆ แต่เธอกลับเป็นเจ้าหญิงที่สตรองมากและไม่ต้องรอคอยโชคชะตาวาสนาใดๆ เธอใช้ความสามารถของตัวเองฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้ แถมยังรักอันนาน้องสาวของเธอเอามากๆ จนแฟนๆ หลายๆ คนถึงกับแอบไปจิ้นกับน้องสาวเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ในโลกออนไลน์ในช่วงนึงดไมีการติดแฮชแท็กว่า #GiveElsaAGirlFriend ขึ้นมาเลยทีเดียว และมีการสร้างแคปเปญหาแฟนสาวให้กับเอลซ่าบนเว็ปไซต์ Change.org อีกด้วย
- นอกจากนี้เอลซ่ายังมีคู่จิ้นต่างค่าย นั่นก็คือ “แจ็ค ฟรอสซ์” (Jack Frost) จากเรื่องห้าเทพผู้พิทักษ์ (Rise of the Guardians) ของค่าย DreamWorks Animation เนื่องด้วยความที่ทั้งคู่มีพื้นหลังในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับน้ำแข็งทั้งภายนอกและภายในจิตใจเหมือนกัน จึงทำให้เกิดแฟนอาร์ต (FANART) หรือรูปภาพน่ารักๆ ของทั้งคู่ที่เหล่าแฟนคลับทำขึ้น และเผยแพร่ลงในโซเชียลมากมาย ขอบอกเลยว่าเคมีเข้ากันมากๆ
อันนา (Anna) เจ้าหญิงจอมแก่น
อันนา (Anna) เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเอลซ่าราชินีหิมะ แม้ว่าเธอจะไม่มีพลังวิเศษหรือเวทมนตร์เหมือนพี่สาว แต่ใช่ว่าเธอจะเรียบร้อยแบบผ้าพับไว้ อันนาขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงจอมแก่นเลยทีเดียว เธอเป็นเด็กสาวที่ออกแนวดูเก่งกล้า ไม่ค่อยมีความอ่อนหวานนุ่มนวลสักเท่าไรนัก มีความรักสนุก รู้วิธีป้องกันตัวและเอาตัวรอด ชอบคิดก่อนลงมือทำ มองโลกในแง่ดี และใส่ใจคนอื่นโดยเฉพาะพี่สาวของเธออย่างเอลซ่าที่เธอพยายามเข้าหาเพื่อที่จะให้กลับมาสนิทกันเหมือนตอนเด็กๆ
อันนาเป็นเด็กสาวที่งดงาม รูปร่างดี มีผิวสีขาว ตาสีฟ้า ผมสีบลอนด์แดง ถักเปียพิกเทลสองข้าง และมีกระจางๆ บนใบหน้าเหมือนพี่สาวของเธอ หากสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าอันนามีปอยผมสีขาวบลอนด์ทางด้านขวาที่เกิดมาจากอุบัติเหตุตอนที่เธอถูกเอลซ่าปล่อยพลังใส่โดยไม่ตั้งใจในวัยเด็ก
หลังจากที่เอลซ่าได้ปล่อยพลังพิเศษจนทำให้อาณาจักรเอเรนเดลตกอยู่ในฤดูหนาวตลอดกาล อันนาตัดสินใจที่จะออกเดินทางเพื่อตามหาเอลซ่า เธอเข้าสู่การผจญภัยที่แสนอันตรายเพื่อที่จะแก้ไขทุกสิ่งให้ถูกต้องอย่างไร้ความกลัว พร้อมกับทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ และมีความศรัทธาในตัวผู้อื่น อันนามีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะปกป้องอาณาจักรและครอบครัวของเธอไว้ให้ได้
ในวัยเด็กอันนาสนิทกับเอลซ่ามาก ตัวติดกันตลอด ทั้งยังคอยชื่นชมความสามารถของพี่สาว ในภาพยนตร์เรื่อง Frozen นี้ อันนาเป็นคนเดียวที่เชื่อว่าเอลซ่าไม่ใช่ปีศาจ เธอเชื่อว่าเอลซ่าพี่สาวของเธอเป็นคนที่อ่อนโยนและห่วงใยผู้อื่น แม้ว่าอันนาเคยถูกพลังของเอลซ่าจนทำให้ผมส่วนนึงของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาวบลอนด์ แต่เมื่อคำสาปสลายไป ผมของเธอก็กลับมาเป็นปกติโดยที่ปอยผมสีขาวนั้นก็หายไปด้วย
แม้ว่าอันนาจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีก็ตาม แต่เธอก็ยังมีความไม่มั่นใจในตัวเองอย่างเช่นการที่ต้องแยกจากกันกับเอลซ่า เรื่องนี้ทำให้เธอคิดว่าเธอเป็นตัวปัญหา และเอลซ่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย ความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างอันนากับเอลซ่าทำให้อันนาอยากจะมีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างกัน และนั่นทำให้เธอพบกับ “ฮานส์” เจ้าชายจากอาณาจักรข้างเคียงที่เดินทางมาเข้าร่วมพิธีราชาภิเษกของเอลซ่า
เมื่ออันนาพบกับฮานส์ เค้าเป็นรักแรกพบของเธอเลยทีเดียว ด้วยความที่เขาเป็นคนฉลาด ช่างสังเกต ให้เกียรติผู้หญิง และสัญญาว่าจะไม่ทิ้งอันนา แต่ในท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวก็กลับหักมุมแบบไม่คาดคิด เพราะชายหนุ่มผู้แสนดีคนนี้กลับกายมาเป็นคนที่หักหลังอันนาเสียเอง
บุคลิกภาพของอันนานั้นต่างจากเอลซ่าอย่างมาก เธอเป็นคนที่ดูล้นๆ เปิ่นๆ ห่างไกลจากคำว่าสง่างาม เธอมักทำก่อนพูด หุนหันใจเร็ว แต่เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ อันนามีจิตวิญญาที่เป็นอิสระ อยากโลดแล่นไปนอกประตูปราสาทหลังจากที่มันถูกปิดมาหลายปีเพื่อรักษาความปลอดภัยจากพลังของเอลซ่า เธอดูบริสุทธิไร้เดียงสาเมื่อเธอฝันถึงการแต่งงานกับใครสักนตามที่หัวใจเรียกร้องแม้จะพบกันเพียงแค่วันเดียว แต่เธอก็ไม่อ่อนแอ เธอรู้จักวิธีต่อสู้ป้องกันตัวและการเอาตัวรอด เห็นได้จากตอนที่สู้กับหมาป่า หรือตอนที่สู้กับ Marshmallow และตอนที่ชกฮานส์จนตกเรือในช่วงท้ายๆ
นอกจากความล้นๆ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้แล้ว อันนายังเป็นคนที่มีกระตือรือร้นสูงอีกด้วย เห็นได้จากการที่เธอวิ่งไปมาทั่วปราสาท กระโดดโลดเต้น ตีลังกาไปมาตามเฟอร์นิเจอร์ พูดกับรูปวาด เนื่องจากว่าไม่มีใครให้คุยด้วย เพราะเอลซ่าก็เก็บตัวอยู่ในห้อง และด้วยความหุนหันพลันแล่นนี้ทำให้เธอมักจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในความยากลำบากโดยไม่จำเป็น เช่น ตอนที่ไปท้าทายมาร์ชแมลโลว์ (Marshmallow) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเธอถึงสองเท่า โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลที่ตามมาเลย
แม้ว่าเธอจะให้ความสำคัญกับความโรแมนติกมาก แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเธอก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเอลซ่า ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อันนาติดเอลซ่ามาก เธอหาโอกาสที่จะใช้เวลากับพี่สาวของเธออยู่เสมอ เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากที่เอลซ่าห่างเหินเธอ อันนาที่หัวใจแตกสลายยังคงพยายามที่จะเข้าหาพี่สาวที่เธอรักตลอดเวลา แต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากเอลซ่ากลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมพลังได้อีกและอาจทำให้เกิดอันตรายได้ และเมื่อเอลซ่าได้เรียนรู้ที่จะควบคุมพลังด้วยความรัก มันจึงเป็นการปลดปล่อยการจองจำตัวตนอันยาวนานของเธอในปราสาท และในที่สุดทั้งคู่ก็สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ตราบนานเท่านาน
นอกจากนี้ อันนาได้แสดงให้เห็นถึงมุมที่น่ารัก มีความเสียสละ อยู่บ่อยครั้ง เธอมักเห็นแก่ความปลอดภัยและความสุขของคนอื่นก่อนตนเอง เช่น ตอนที่เธอซื้อเครื่องมือฤดูหนาวและอาหารให้คริสตอฟฟ์ (Kristoff) ที่ร้าน Wandering Oaken’s Trading Post and Sauna เมื่อเห็นว่าเขามีเงินไม่พอที่จะซื้อได้ เธอยังห้ามคริสตอฟฟ์บอกโอลาฟเกี่ยวกับเรื่องจริงของฝันในฤดูร้อนเนื่องจากจะเป็นการทำลายความฝันของโอลาฟ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนสุดท้ายที่เธอยอมสละชีพเพื่อช่วยชีวิตเอลซ่าจากฮานส์ โดยภาพรวมแล้วบุคลิกภาพของอันนา มีความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับนางเอกของดิสนีย์ในเรื่องก่อนๆ
Fun Fact เกี่ยวกับอันนา
- เนื่องจากเรื่อง Frozen นี้ได้ใช้ประเทศนอร์เวย์เป็นฉากของเรื่อง ชื่อของ Anna จึงออกเสียงตามสำเนียงชาวนอร์เวย์ (Norwegian) ว่า Ah-na โดยในภาษาไทยอ่านว่า “อันนา” นั่นเอง
- ชื่อของอันนาแปลว่า “มีเมตตา” หรือ “เต็มไปด้วยความสง่างาม” หรืออาจจะเป็นการแดกดันอันนาที่ออกจะดูล้นๆ มากกว่าสง่างามรึเป่านะ
- อันนาเกิดในวันครีษมายัน (Summer Solstice) เป็นวันที่เวลากลางวันยาวนานที่สุดในรอบปี และเธอมีอายุ 18 ปีในช่วงที่มีพิธีราชาภิเษกของเอลซ่า
- Frozen เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องแรกที่เจ้าหญิงดิสนีย์ได้เต้นรำคู่กับตัวร้าย โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อบทเพลง “Love is an Open Door” ดังขึ้น แล้วอันนาและฮานส์เต้นร่วมกัน
- ภาพวาดของอันนาที่พระราชวังถูกอ้างอิงมาจากภาพวาดชื่อดังในประวัติศาสตร์ที่ชื่อ “Jean-Honoré Fragonard’s The Swing”
- อันนาร้องเพลงออกมามากที่สุดในเรื่อง Frozen
- เครื่องแต่งกายในช่วงฤดูหนาวของอันนามีความคล้ายคลึงกันอย่างแปลกประหลาดกับชุดพิธีราชาภิเษกของเอลซ่า ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่ได้
- ผ้าคลุมสีม่วงแดงที่ถอดออกได้
- เสื้อท่อนบนที่มีรอบเอวรูปตัววี (สีดำบนอันนาและนกเป็ดน้ำบนเอลซ่า)
- ถุงมือสีน้ำเงิน (ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็ถอดออก)
- แขนเสื้อรัดรูป (สีดำบนเอลซ่าและสีฟ้าอ่อนที่อันนา)
- ในขณะที่หลายๆ คนอาจจะไม่ได้สังเกตเห็น อันนาได้แสดงความสามารถที่น่าทึ่งอยู่หลายครั้ง แม้ว่าบางคนอาจจะโต้แย้งว่าสิ่งเหล่านี้อาจถูกกระตุ้นโดยอะดรีนาลีน เช่น
- โยนหินข้ามห้องบอลรูม
- ขว้างอุปกรณ์ปีนเขาที่คริสตอฟฟ์ด้วยแรงที่มากพอที่จะสร้างความเจ็บปวดโดยไม่ต้องออกแรง
- ส่งหมาป่าบินจากเลื่อนด้วยพิณ
- ดึงคริสตอฟฟ์ขึ้นหน้าผาด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากสเวน
- เตะศีรษะของโอลาฟขึ้นไปในอากาศ
- เคาะมาร์ชแมลโลว์ด้วยต้นไม้
- ต่อยหน้าฮานส์ด้วยความแรงมากพอที่จะเหวี่ยงเขาลงน้ำ
- บิดข้อมือเมื่อเธอยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ
- อันนามีสมาธิสั้นและหุนหันพันแล่น เธอตื่นเต้นง่าย บางครั้งเธออาจจะแสดงออกก่อนที่เธอจะคิดและสมาธิสั้นของเธอก็แสดงมาออกเมื่อเธอพูดว่า “เดี๋ยวก่อน อะไรนะ” (ทั้งในตอนที่เป็นผู้ใหญ่และในวัยเด็ก)
- ตามเพลงที่ถูกลบ “Life’s Too Short” เดิมทีอันนาตั้งใจจะแต่งงานกับฮานส์โดยไม่ขออนุญาตจากเอลซ่า
- เมื่ออันนากลายเป็นราชินีแห่งเอเรนเดล เธอมีทรงผมแบบเดียวกับที่เอลซ่ามีในวันราชาภิเษก แม่ของพวกเขาก็มีทรงผมเหมือนกันเมื่อเธอเป็นราชินี การแต่งกายของเธอยังเน้นย้ำถึงชุดที่เป็นทางการของเอเรนเดล ในขณะที่ทั้งแม่และพี่สาวของเธอสวมชุดธรรมดาเท่านั้น
- ก่อนที่ Frozen II จะออกมา มีหลายฉากที่แสดงให้เห็นว่าอันนาถือดาบ แต่ในเรื่องเธอไม่เคยต่อสู้กับใครเลย
โอลาฟ (Olaf) ตุ๊กตาหิมะ
โอลาฟ (Olaf) เป็นมนุษย์หิมะที่เกิดจากเวทมนตร์ของเอลซ่า มีแขนเป็นกิ่งไม้ มีผม 3 เส้นเป็นกิ่งไม้เช่นเดียวกัน มีจมูกเป็นแครอื เขาสามารถพูดคุยได้เหมือนคน เขานิสัยเหมือนเด็ก คิดบวกตลอดเวลา เป็นมิตรกับทุกคน และมักมีรอยยิ้มเสมอ โอลาฟถือว่าเป็นมนุษย์หิมะที่เป็นมิตรที่สุดท่ามกลางภูเขาเหนืออาณาจักรเอเรนเดลเลยทีเดียว
นอกจากโอลาฟจะคอยสร้างสีสันให้เราได้อมยิ้มแทบทุกฉากของเขาแล้ว เขายังเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ของเอลซ่าและอันนาในวัยเด็กอีกด้วย เมื่อเยาว์วัยเอลซ่าและอันนาเคยช่วยกันปั้นมนุษย์หิมะขึ้นมา มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ ที่จริงแล้วเอลซ่าไม่ได้ตั้งใจจะเสกโอลาฟขึ้นมา แต่เขาเกิดมาจากจินตนากรในวัยเด็กของเอลซ๋า ดังนั้นโอลาฟจึงมีบุคลิกลักษณะเหมือนเด็ก หัวของโอลาฟก็บิดเบี้ยวเหมือนหิมะที่เด็กเป็นคนปั้น ท่าเดินของเขาก็เหมือนเด็กเช่นกัน
โอลาฟได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางความสิ้นหวังของอันนา เมื่ออันนาได้เจอกับโอลาฟก็เหมือนช่วยต่อความหวังให้กับเธอ เพราะโอลาฟเป็นสิ่งที่เอลซ่าสร้างขึ้น จึงแสดงว่าเอลซ่ายังจำเรื่องราวในวัยเด็กได้ อันนาจึงมีความคิดที่จะตามพี่สาวกลับมาและเดินทางต่อไป
แม้โอลาฟจะเป็นมนุษย์หิมะ แต่เขาก็ได้ถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านการกอดให้กับทุกคน จะมีอะไรดีไปกว่าการกอดใครสักคนเพื่อเพิ่มกำลังใจใจวันที่เขาสิ้นหวัง การกอดถือว่าเป็นยาวิเศษที่ทำให้คนโดนโอบกอดรู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว โอลาฟมักจะดูและคนอื่นด้วยความจริงใจและเต็มใจ เขามีรอยยิ้มบนใบหน้าทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น และเขาก็มักทำตัวเป็นกูรูด้านความรัก โอลาฟเคยให้คำแนะนำเรื่องความรักกับอันนาด้วยประโยคที่ว่า “คนบางคนก็มีค่ามากพอให้เราหลอมละลาย” ถือเป็นประโยคเด็ดของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว
หลายคนคงคิดว่ามนุษย์หิมะคงจะต้องเกลียดฤดูร้อนแน่ๆ เพราะเขาจะละลาย แต่นั่นไม่ใช่สำหรับโอลาฟ เพราะเขารักฤดูร้อนและแสงแดดสุดๆ เขาสนุกกับการออกไปกระโดดโลดเต้นแม้จะทำให้ตัวเองต้องหลอมละลายไปกับอุณภูมิอันร้อนแรงก็ตาม
พลังและความสามารถของโอลาฟ
โอลาฟมีความสามารถในการถอดแยกชิ้นส่วนต่างๆ ในร่างกายของเขาได้ตามต้องการ และมีความสามารถในการปลดล็อครูกุญแจของประตูโดยใช้จมูกแครอทของเขา
Fun Fact เกี่ยวกับโอลาฟ
- ในภาพยนตร์เรื่อง Frozen นี้ โอลาฟเปนตัวแทนของความสุขที่เอลซ่าและอันนาแบ่งปันกันตั้งแต่ยังเด็ก
- โอลาฟอาจะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “The Snowman” ซึ่งเป็นเทพนิยายของฮานส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) อีกเรื่องนึงที่มนุษย์หิมะในตำนานหลงรักเตาอุ่นๆ แต่ไม่สามารถอยู่กับมันได้พราะเขาจะละลาย
- โอลาฟได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้ดูเหมือนว่าเด็กเป็นคนสร้างขึ้นมา โดยมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการอ้างอิงว่าเอลซ่าจำลองเขาขึ้นมาในวัยเด็ก
- โอลาฟไม่รู้สึกเจ็บปวด เมื่อเขาเดินไปบนยอดน้ำแข็งส่งผลให้เหล็กแหลมทะลุผ่านตรงกลางของเขา เขาเพียงแค่มองลงไปและพูดว่า “โอ้ ดูนั่นสิ ฉันถูกตรึงแล้ว” และหัวเราะคิกคัก อย่างไรก็ตาม เขาสามารถรู้สึกเจ็บปวดได้ ซึ่งแสดงให้เห็นเมื่ออันนาเผลอดันจมูกแครอทของเขาแรงเกินไป และดูเหมือนว่าเขาจะจั๊กจี้เมื่อคริสตอฟฟ์ผลักเขาออกไปจากสเวน แม้โอลาฟจะทำมาจากหิมะ แต่เขาก็มีความสามารถของมนุษย์ เช่น การนอนหลับ การกินอาหาร (แม้จะไม่มีระบบย่อยอาหาร) การหายใจ (แม้จะไม่มีปอด) และการรับรู้กลิ่นรส (แม้จะไม่มีรสสัมผัส) เสียงสัมผัส และสายตา
- โอลาฟเป็นแขกรับเชิญคนแรกของดิสนีย์ที่ไม่ใช่เจ้าหญิงที่ปรากฎตัวในรายการ “Sofia the First” และยังเป็นผู้ชายคนแรกที่ถูกเครื่องราง “Amulet of Avalor เรียกอีกด้วย
- โอลาฟเก่งในการทายเพราะเขาสามารถจัดเรียกส่วนต่างๆ ของร่างกายได้
- นิตยสาร People ฉบับพิเศษกล่าวว่า โอลาฟชอบดูดาวและเต้นรำ
- ในหนังสือ The Secret Admire กล่าวว่า โอลาฟรับรู้การกระทำของเจ้าชายฮานส์ที่มีต่ออันนาและเอลซ่า และได้รับการตั้งข้อสังเกตในเรื่องที่โอลาฟไม่ชอบเจ้าชายฮานส์ใน Frozen II
- โอลาฟสูงประมาณ 2 ฟุต 6 นิ้ว (ประมาณ 76 เซนติเมตร) และถ้าหากวัดรวมกิ่งไม้บนหัวด้วย เขาจะสูงประมาณ 3 ฟุต 1 นิ้ว (ประมาณ 94 เซนติเมตร)
คริสตอฟฟ์ (Kristoff)
คริสตอฟฟ์ (Kristoff Bjorgman) เป็นตัวละครสำคัญในเรื่อง Frozen เขาเป็นเด็กกำพร้าและได้รับการเลี้ยงดูจากพวกโทรลล์ ในตอนแรกคริสตอฟฟ์ระวังตัวจากมนุษย์มาก เพาะเชื่อว่าพวกเขาเป็นโจรหรือคนไม่ดี มุมมองของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เมื่อได้พบกับเจ้าหญิงอันนา ซึ่งความอบอุ่นใจจะพิสูจน์ได้ว่าผู้คนไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิด
คริสตอฟฟ์มีผมสีบลอนดทองยาวประบ่า แต่ไม่ซีดเหมือนผมสีบลอนด์แพลตตินั่มของเอลซ่า เขามีดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาว และมีฝ้ากระจางๆ ที่จมูก จมูกของเขาค่อนข้างใหญ่ และแก้มของเขามักจะแดงมากเพราะอากาศหนาว
คริสตอฟฟ์เป็นคนชอบการผจญภัยและรักอิสระ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่นการแอบออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบ เขามักจะอยู่กับกวางเรนเดียร์คู่หูของเขา “สเวน” (Sven) ซึ่งเป็นทังเพื่อนซี้และหุ้นส่วนทางธุรกิจ พวกเขาพบกันในวัยเด็ก และหลังากนั้นพวกเขาก็แยกจากกันไม่ได้เลย เป็นเหมือนพี่น้อง การดูแลสเวนของคริสตอฟฟ์นั้นยอดเยี่ยมมากจนเขาเริ่มติดปรัชญาที่ว่า “กวางเรนเดียร์ดีกว่าคน” ซึ่งสเวนก็เห็นด้วย แม้สเวนจะพูดไม่ได้แต่ทั้งสองก็เข้าใจซึ่งกันและกัน จนทำให้คริสตอฟฟ์มีนิสัยชอบพูดความคิดของสเวนด้วยน้ำเสียงที่เกินจริง
ในภาคแรก คริสตอฟฟ์ถูกนำเสนอในฐานะคนขี้เหนียวและขาดความเขารถคนรอบข้าง เนื่องจากเขาเติบโตมากับพวกโทรลล์และสัตว์ป่าซึ่งแตกต่างจากพวกมนุษย์อื่นๆ แม้เขาจะมีนิสัยขี้เหงา ไม่ชอบเข้าสังคม แต่คริสตอฟฟ์ก็มีจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยรักและความไร้เดียงสา หลักฐานชิ้นแรกคือความสัมพันธ์ของเขากับสเวนซึ่งถือเป็นสัตว์เลี้ยงและเพื่อนสนิทที่สุดของเขา ความนุ่มนวลภายในและกลิ่นอายของควารักได้รับการตอกย้ำมากขึ้นโดยครอบครัวโทรลล์ของเขา ซึ่งเปิดเผยให้เห็นว่าคริสตอฟฟ์เป็นคนอ่อนไหวและอ่อนหวานเมื่อได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน ซึ่งเขาพิสูจน์ได้ผ่านมิตรภาพและความสัมพันธ์กับอันนา
กับอันนา คริสตอฟฟ์แสดงให้เห็นความรัก เคารพ และเสียสละ อย่างสมบูรณ์ ในที่สุดเขาก็ตกหลุมรักความเป็นธรรมชาติ ความสนุกสนาน ความไม่เห็นแก่ตัว และความเพียรของเจ้าหญิง คริสตอฟฟ์ได้ยอมเปิดใจให้กับโลกรอบตัว และได้เปิดเผยให้เห็นว่าเขาเป็นคนขี้อาย นอกจากนี้ ความรักที่เขามีต่ออันนาทำให้เขาเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตและความสุขของตัวเองโดยไม่ลังเล
ในตอนท้ายของการผจญภัย คริสตอฟฟ์ได้พัฒนาความสัมพันธ์อันแสนโรแมนติกกับอันนา และได้รับการต้อนรับเข้าสู่ราชวงศ์เอเรนเดล ในระยะเวลา 3 ปีของความสัมพันธ์ คริสตอฟฟ์สารภาพรักกับอันนา และเขาได้กลายเป็นคู่หมั้นของเธอและเป็นราชาแห่งเอเรนเดลในที่สุด
Fun Fact เกี่ยวกับคริสตอฟฟ์
- คริสตอฟฟ์มีอายุ 21 ปีใน Frozen ภาคแรก และ 24 ปีในภาคที่ 2
- แม้จะไม่มีการกล่าวถึงในภาพยนตร์ แต่นามสกุลของคริสตอฟฟ์คือ “Bjorgman” (Kristoff Bjorgman) เรื่องนี้ได้รับการยืนยันใน “Essential Guide” ในภาษาสแกนดิเนเวีย “Bjorg” หมายถึง ความช่วยเหลือ หรือ ความอยู่รอด
- เห็นได้ชัดว่าคริสตอฟฟ์ไม่ได้มีสุขอนามัยที่ดี มีครั้งหนึ่งสเวนของรับว่าคริสตอฟฟ์ไม่ได้มีกลิ่นที่ดีไปกว่ากวางเรนเดียร์เลย นอกจากนี้พวกโทรลล์ยังกล่าวถึงในเพลง “Fixer Upper” ว่า แม้ว่าเรารู้ว่าเขาล้างได้ดี แต่เขาก็มักจะมีกลิ่นเหม็น นอกจากนี้เขายังแบ่งปันแครอทกับสเวนโดยปล่อยให้สเวนกัดแล้วเค้าก็ค่อยกัดตาม ครั้งหนึ่งสเวนได้หยิบแครอทั้งชิ้นเข้าปาก แต่คริสตอฟฟ์บอกให้เขาแบ่งปัน จากนั้นสเวนก็คายส่วนหนึ่งของแครอทออกมาทั้งที่มีน้ำลายอยู่ แล้วคริสตอฟฟ์ก็กัดมัน
- คริสตอฟฟ์ไม่ชอบวมเครื่องแต่งกายของราชวงศ์ เค้าสามารถอดทนกับมันได้เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
สเวน (Sven)
สเวน (Sven) เป็นตัวละครสำคัญใน Frozen ทั้งภาค 1 (2013) และภาค 2 (2019) เนื่องจากเขาเป็นกวางเรนเดียร์และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคริสตอฟฟ์ ด้วยที่เขาเป็นกวางสเวนไม่พูดคุยและส่งเสียงร้อง บางครั้งคริสตอฟฟ์ก็เปล่งเสียงความคิดของสเวนโดยเลียนเสียงกวางเรนเดียร์ที่น่าขำมาก แต่ถึงแม้สเวนจะไม่สามารถพูดหรือสื่อสารได้ แต่คริสตอฟฟ์ก็เข้าใจท่าทางและการแสดงออกทางกายภาพของเขา แม้กระทั่งเสียงความคิดของสเวน
สเวนเป็นลูกกำพร้าและเกือบตายก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากคริสตอฟฟ์ ทั้งสองคนอยู่เคียงกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในฐานะเพื่อนที่ดีที่สุด สเวนทำงานร่วมกับคริสตอฟฟ์ในการเก็บเกี่ยวและขายน้ำแข็งในเอเรนเดล โดยปกติบทบาทของสเวนมีหน้าคือการลากรถเลื่อนที่สั่งการโดยคริสตอฟฟ์
ถึงแม้สเวนจะเป็นกวางเรนเดียร์ แต่เขาก็มีบุคลิกและหัวใจของสุนัขนั่นก็คือ “ลาบราดอร์” เพราะแบบนี้ เขาจึงทำหน้าเที่เป็นคู่หูที่ซื่อสัตย์และขี้เล่น เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคริสตอฟฟ์และคอยสนับสนุนเขารวมทั้งให้คำแนะนำคริสตอฟฟ์ให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อไรก็ตามที่คริสตอฟฟ์ดื้อรั้น สเวนจะค่อนข้างเข้มงวด ขรึม และยืนหยัดท้าทายจนกว่าคริสตอฟฟ์จะรู้สึกตัว บางครั้งอาจทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างสเวนและคริสตอฟฟ์ แต่สายสัมพันธ์รักของพวกเขาก็ยังชนะทุกสิ่ง
เมื่ออยู่ในความมืด บางครั้งสเวนค่อนข้างเงอะงะ และอาจะถูกเบนความสใจได้ง่ายๆ เช่น เถาวัลย์แช่แข็ง หรือ เกล็ดหิมะ ซึ่งเหล่านี้มักจะนำไปสู่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เช่น ทำให้เขาพันกัน หรือลิ้นของเขาติดอยู่บนบันไดน้ำแข็งของเอลซ่า ด้วยมุมมองที่ไร้เดียงสากับชีวิต เขาจึงเป็นเพื่อนที่สมบูรณ์แบบของโอลาฟ และด้วยบุคลิกภาพด้านนี้ของสเวนยังช่วยให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอันนา ซึ่งเขาจะเปล่งประกายในทันทีซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักของคริสตอฟฟ์ที่มีต่อเธอ ด้วยความไร้เดียงสาของสเวน บางครั้งคริสตอฟฟ์ก็ทำตัวเหมือนพ่อแม่ที่คอยปกป้อง เขาจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมาออกคำสั่งกับสเวน (นอกเหนือจากตัวเขาเอง) และรู้สึกไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อโอลาฟพูดคุยกับกวางเรนเดียร์ด้วยเบบี้ทอร์ค
Fun Fact เกี่ยวกับสเวน
- ขนมโปรดของสเวนคือแครอทและตะไคร่ นอกจากนี้เขายังชอบพายเช่นเดียวกับที่เห็นในเพลง “In Summer”
- สำหรับสัตว์ที่ไม่ใช่ม้า สเวนเป็นกวางเรนเดียร์ที่วิ่งเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งมีข้อมูลอ้างอิงที่สำคัญสำหรับสายพันธุ์ของเขา เนื่องจากกวางเรนเดียร์เร็วพอสำหรับชาวเอสกิโมและวัฒนธรรมอื่น ๆ อีกมากมายที่จะใช้ในการแข่งขันลากเลื่อนในซีกโลกเหนือ
- เขากวางของสเวนดูเหมือนจะแข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของคริสตอฟฟ์ได้
- เมื่อโอลาฟเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันของเอลซ่าและอันนา สเนจึงเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันระหว่างอันนากับคริสตอฟฟ์
- ในช่วง Frozen II เขากวางของสเวนจะถูกปกคลุมไปด้วยกำมะหยี่ ซึ่งหมายความว่าเขาได้กำจัดเขากวางเก่าของเขาออกไป และเติบโตขึ้นใหม่ภายใน 3 ปี
เอลซ่าและอันนาถือเป็นเจ้าหญิงดิสนี่ย์รึเปล่า?
เดิมทีเอลซ่า (Elsa) และอันนา (Anna) มีกำหนดเข้าร่วมแฟรนไชส์เจ้าหญิงดิสนีย์ (Disney Princess franchise) ในฐานะเจ้าหญิงองค์ที่ 12 และ13 ทั้งสองได้รับแม้กระทั่งภาพศิลปะ 2 มิติคล้ายกับของราพันเซล (Rapunzel) และเมริดา (Merida) แต่อย่างไรก็ตามด้วยด้านการเงินและความสำเร็จอย่างล้นหลามของภาพยนตร์เรื่อง Frozen เขาทั้งสองจึงเป็นดาวเด่นของโฟรเซ่นแฟรนไชส์ (Frozen franchise) ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องรวมเอลซ่าและอันนาไว้ในแฟรนไชส์หลักอื่นๆ เนื่องจากภาพยนตร์โฟรเซ่นของพวกเขาทำได้ดีอย่างมากในบ็อกซ์ออฟฟิศ (The Box Office)
อย่างไรก็ตาม เอลซ่าและอันนาได้รับการแนะนำให้ร่วมกับสมาชิกแฟรนไชส์ในสินค้าและสื่อ พวกเขาได้รับการอ้างอิงในการแสดง “Sofia the First” ใน “The Secret Library” จะมีการแสดงลมหนาวและละอองน้ำแข็งในอุโมงค์ลับควบคู่ไปกับการอ้างอิงถึงเจ้าหญิงดิสนีย์คนอื่นๆ ทั้งหมด ต่อมาใน “The Secret Library: Olaf and the Tale of Miss Nettle” โอลาฟถูกเรียกโดยเครื่องราง “Amulet of Avalor” เนื่องจากอำนาจของมิสเนทเทิล โอลาฟบอกเป็นนัยว่า หากปราศจากการแทรกแซงของมิสเนทเทิล อันนาจะถูกเรียกตัวออกไปเนื่องจากมีเพียงเจ้าหญิงดิสนีย์เท่านั้นที่ถูกอัญเชิญโดยเครื่องราง เอลซ่าและอันนายังถูกรวมอยู่ใน “The Glow” เวอร์ชันปรับปรุงซึ่งเป็นเพลงของเจ้าหญิงดิสนีย์
ภายในสวนสนุก “Shanghai Disneyland’s Enchanted Storybook Caster” มีการจัดแสดงภาพแกะสลักฝาผนังของเจ้าหญิงดิสนีย์อย่างเป็นทางการ และแน่นอนที่สุด เอลซ่ากับอันนาก็มีความโด่ดเด่นมากในบรรดาเจ้าหญิงดิสนีย์
www.rinrinworld.com/home/frozen
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
เนื้อหา: วิกิพีเดีย
🔻🔻ติดตามเรา🔻🔻
– Shopee: https://shopee.co.th/rinrinworld
– Facebook: https://www.facebook.com/rinrinworldshop/
– Website: https://www.rinrinworld.com/